กรุงเทพฯ — กระทรวงการคลังได้ประกาศปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย (จีดีพี) ในปี 2568 ลงเหลือเพียง 2.1% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3% เนื่องจากแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกาและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย
ปัจจัยหลักที่กดดันเศรษฐกิจไทย
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การปรับลดประมาณการครั้งนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.3% ต่อปี (อยู่ในช่วงคาดการณ์ 1.8% ถึง 2.8%) ลดลงจากเป้าหมายเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
“ผลกระทบทางตรงเกิดจากการที่สินค้าส่งออกของไทยต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นในตลาดสหรัฐ ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSMEs) ที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานสำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐ” นายพรชัยกล่าว “ส่วนผลกระทบทางอ้อมเกิดจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลต่อความต้องการสินค้าส่งออกจากไทยในภาพรวม”
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยบรรเทาบางประการที่ช่วยลดผลกระทบลงบางส่วน เช่น การประกาศเลื่อนการบังคับใช้นโยบาย Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน นับจากวันที่ 9 เมษายน 2568 และการยกเว้นสินค้าบางประเภท เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบต่อการส่งออกของไทยได้บางส่วน
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568
แม้จะมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 3.2% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.7% ถึง 3.7%) ตามกำลังซื้อในประเทศและรายได้ภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
ด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 36.5 ล้านคน ขยายตัวที่ 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความท้าทายจากภาคการส่งออก
สำหรับด้านการลงทุน การลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะขยายตัวเพียงเล็กน้อยที่ 0.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ -0.1% ถึง 0.9%) สะท้อนถึงความระมัดระวังของภาคธุรกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.3% ถึง 3.3%) จากการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่องและการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำที่ 0.8% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.3% ถึง 1.3%) ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ลดลงในตลาดโลก ส่วนเสถียรภาพภายนอกประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2568 มีแนวโน้มเกินดุล 12.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.2% ของจีดีพี จากดุลการค้าที่เกินดุลอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
นายพรชัย ได้เปิดเผยถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยครั้งนี้อิงตามกรณีฐาน (Base Case) เป็นสำคัญ ซึ่งมีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐจะมีการผ่อนปรนด้านนโยบายภาษีกับประเทศไทยและประเทศคู่ค้า
“หากเกิดกรณีที่ดีขึ้น (High Case) ซึ่งมีสมมติฐานว่ารัฐบาลสหรัฐจะมีการปรับลดภาษีนำเข้าของไทยและประเทศอื่นๆ ลงเหลือประมาณ 10% จะส่งผลบวกให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.5% โดยแรงส่งหลักจะมาจากการส่งออกที่ขยายตัวมากขึ้น และการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามความเชื่อมั่นที่สูงขึ้น” นายพรชัยอธิบาย
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้งเมื่อมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการค้าของสหรัฐและผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
5 แนวทางรับมือผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
เพื่อบรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก กระทรวงการคลังได้วางแนวทางรับมือไว้ 5 ประการ ดังนี้
- การเจรจากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง: รัฐบาลไทยจะดำเนินการเจรจากับสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อแสวงหาแนวทางที่เป็นประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย โดยมุ่งเน้นการลดผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐต่อสินค้าไทย
- การเตรียมแหล่งเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ: กระทรวงการคลังเตรียมแหล่งเงินเพื่อจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการดำเนินนโยบายการคลังให้มีขนาดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกลุ่มเปราะบาง
- การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ: มุ่งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือของปี 2568 เพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ
- การสนับสนุนผู้ส่งออกผ่าน EXIM Bank: ผลักดันความช่วยเหลือผู้ส่งออกผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐ
- การบูรณาการความช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง: ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในการดูแลกลุ่มเปราะบางและกิจการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ เพื่อลดผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ
ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายพรชัยยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการติดตามปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด ได้แก่
- นโยบายด้านภาษีของสหรัฐและการตอบโต้ของประเทศอื่นๆ: โดยเฉพาะการตอบโต้จากประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของทั้งไทยและสหรัฐ
- ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ: ซึ่งส่งผลต่อการไหลเข้าออกของเงินทุนและค่าเงินบาท
- การไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ: สินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีอาจย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศ
- ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก: ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ
- การย้ายฐานการลงทุนและการผลิต: อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตหรือการลงทุน ซึ่งอาจเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายสำหรับประเทศไทย
- ความผันผวนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า: สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยที่อาจมีความผันผวนจากนโยบายการค้าของสหรัฐและปัจจัยอื่นๆ
- ปัญหาหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ: หนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจของไทยที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ
นอกจากนี้ นายพรชัยยังกล่าวถึงกรณีที่ Moody’s ปรับลด Outlook ของประเทศไทย ว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการพิจารณาผลกระทบ โดยยืนยันว่าในระยะแรกยังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
“การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลขณะนี้เป็นไปตามเป้าหมาย ส่วนกรอบเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพียังอยู่ที่ 70% โดยปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 64% ต่อจีดีพี รวมถึงการเร่งรัดการเบิกจ่ายในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยการเบิกจ่ายปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว หากช่วงที่เหลือสามารถเบิกจ่ายได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 98% ได้ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยโดยรวม” นายพรชัยกล่าวทิ้งท้าย